วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2551

การใคร่ครวญอย่างพินิจพิจารณา

วันนี้อยากจะพูดคุยในประเด็นที่ว่า...

เราจะเริ่มต้นดำเนินงานพัฒนาภายใต้แนวคิด "การพัฒนาคือการปลดปล่อย" ได้อย่างไร? (วลีที่ว่า "การพัฒนาคือการปลดปล่อย" นี้ ผมได้รับแรงบันดาลใจจาก คุณบรรจง นะแส นักพัฒนาผู้ยิ่งยงแห่งภาคใต้ และขอยืมคำของท่านมาใช้-ท่านคงไม่ว่าอะไร)

ผมขอเริ่มต้นที่ความคิดรวบยอด 2 ความคิดได้แ่ก่ meaning perspective กับ critical reflection

การพัฒนาคือการปลดปล่อยมีจุดเริ่มต้นสำคัญที่การเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีรับประสบการณ์ วิธีตีความหมายแก่ประสบการณ์ ศัพท์วิทยาทางวิชาการเรียกว่า การเปลี่ยน 'ระบบคิดเชิงความหมาย' ที่ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า 'meaning perspective' ซึ่งเป็นความคิดรวบยอดที่มีความหมายคล้ายคลึงกับคำว่า 'mind set' หรือ 'mental model'

Jack Mezirow ให้ความหมาย meaning perspective ไว้ดังนี้ "the structure of assumptions that constitutes a frame of reference for interpreting the meaning of an experience"

จากความหมายดังกล่าว meaning perspective ของแต่ละคนก็คือ โครงสร้างของข้อสมมติที่เราสะสมไว้ในสมองเป็นมโนภาพที่ฝังอยู่ในตัวเรา และเมื่อเราได้รับประสบการณ์ต่างๆ เราก็จะใช้ชุดของข้อสมมติดังกล่าวเป็นกรอบอ้างอิงในการตีความหมาย-สร้างความหมายแก่ประสบการณ์นั้นๆ ข้อสมมติ (assumption) เป็นหลักการ และเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับธรรมชาติ และการทำงานของสิ่งต่างๆ หรือปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่เราเชื่อว่าเป็นจริง

ตัวอย่างเช่น นักพัฒนาชนบทมี ข้อสมมติของการพัฒนาว่า ชาวบ้าน "โง่-จน-เจ็บ" การออกแบบหรือดำเนินกิจกรรมการพัฒนาก็ย่อมจะต้องทำไปเพื่อให้ชาวบ้านหายโง่ จน เจ็บ (ปัจจุบันสมมติฐานนี้ได้ถูกรื้อทำลายไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังคงมีบางคนที่ยึดสมมติฐานนี้อยู่) เป็นต้น

meaning perspective จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรับรู้ การให้ความหมาย การจัดเก็บความรู้ และนำไปสู่ปฏิบัติการต่างๆ ของมนุษย์ เพราะมนุษย์ย่อมจะมีการกระทำหรือปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ตาม "ความหมาย" ที่มนุษย์ให้กับสิ่งเหล่านั้น

มาถึงตรงนี้จึงน่าจะเกิดคำถามขึ้นมาว่าแล้วเราจะเปลี่ยน 'ระบบคิดเชิงความหมาย' (meaning perspective) ได้อย่างไร?

การเปลี่ยนแปลง 'ระบบคิดเชิงความหมาย' มีจุดเริ่มต้นที่การเปลี่ยนวิธีิคิด Mezirow ได้เสนอรูปแบบวิธีคิดที่เรียกว่า 'การใคร่ครวญอย่างพินิจพิจารณา' (critical reflection) ซึ่งหมายถึง "การประเมินความถูกต้องเที่ยงตรงของ meaning perspective ที่แต่ละบุคคลยึดมั่นถือมั่นไว้, และตรวจสอบที่มาและผลที่เกิดขึ้นจากความเห็น-ความเชื่อดังกล่าวนั้น"

critical reflection จึงเป็นการตรวจสอบ ไตร่ตรองว่า ทำไมเราจึงคิดอย่างนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการ know why และ care why เพื่อตอบคำถามว่า "ทำไมเราจึงให้ความหมายอย่างนั้น และความหมายนั้นทำเกิดขึ้นได้อย่างไร"

การใคร่ครวญอย่างพินิพิจารณา (critical reflection) จึงเป็นวิธีคิดที่เป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนระบบคิดเชิงความหมายในแต่ละคน เพราะทำให้เราได้ขบคิดว่า การให้ความหมายแก่โลก การให้ความหมายแก่ประสบการณ์ของเรามีที่มาอย่างไร การตระหนักหรือสำเนียกดังกล่าวจะทำให้เราได้พิจารณาตนเองว่า ความคิดของเราถูกครอบงำหรือไม่ ความคิดของใครที่ครอบงำความคิดเรา และยังทำให้เราได้คิดต่อไปว่า เรามีทางเลือกอื่นๆ อีกหรือไม่ การคิดถึงทางเลือกต่างๆ มีความสำคัญอย่างมากต่อการปลดปล่อย เพราะการปลดปล่อยย่อมหมายถึงหลุดพ้น การออกจากพันธนาการทางความคิดที่ครอบงำเราไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธนาการที่เราได้รับจนเคยชิน หรือรับโดยไม่รู้ตัว (unconscious) เช่น รับความหมายตามที่อาจารย์สอน ผู้ใหญ่สอน สื่อมวลชนให้ข้อมูล โดยไม่พิจารณาถึงที่มาที่ไปของวาทกรรมต่างๆ เหล่านั้น แต่รับและเชื่อโดยง่าย ฝัง/จัดเก็บไว้ในหัวสมอง และพร้อมที่จะมีท่าทีต่อเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ต่างๆ ไปตามความเชื่อที่ฝังอยู่ในตัวเรา โดยไม่เคยตรวจสอบ-ตรวจทานความถูกต้องเที่ยงตรงของความคิด ความเชื่อดังกล่าวนั้นเลย

ความคิด ความเชื่อที่เรารับรู้มาโดยปราศจากการไตร่ตรองพิจารณาจึงเป็นพันธนาการที่ครอบงำเราไว้ ดังนี้ รพินทรานาท ฐากูร บอกว่า "ความรู้คือพันธนาการ"

การพัฒนาคือการปลดปล่อยก็คือ การปลดปล่อยจากพันธนาการทางความคิดเหล่านั้น การใคร่ครวญอย่างพินิจพิจารณาจึงเป็นสาระสำคัญของ กระบวนการการพัฒนาคือการปลดปล่อย

กล่าวโดยสรุปการใคร่ครวญอย่างพิจารณาคือการคิดเพื่อตรวจสอบ ข้อสมมติต่างๆ ที่เป็นฐานคิด ฐานความเชื่อในการทำงานต่างๆ ของเราว่า ข้อสมมติที่เรายึดมั่นไว้ถูกต้องเที่ยงตรงเพียงใด และมีทางเลือกที่จะใช้ข้อสมมติอื่นๆ ในการทำงานของเราหรือไม่ ปีเตอร์ ดรักเกอร์ครูด้านการบริหารผู้ล่วงลับได้กล่าวไว้ว่า "ถ้าเราวางสมมติฐานต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง เราก็จะทำงานได้สำเร็จ"

ในว้ันนี้ขอนำเสนอมโนภาพเรื่อง "ระบบคิดเชิงความหมาย" กับวิธีคิดแบบ "ใคร่ครวญอย่างพินิพิจารณา" เป็นจุดเริ่มต้น และจะได้นำมโนภาพอืนๆ มาพูดคุยกันต่อไป โดยจะเริ่มต้นที่กระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนรูป หรือที่เีรียกกันว่า 'transformative learning' ครับ

สุดท้ายอยากจะฝาก ธรรมบทกถาไว้ เป็นข้อเตือนใจกับพวกเราทุกคนว่า


"ยศย่อมเจริญแก่คนที่มีความหมั่น. มีสติ, มีการงานสะอาด, ใคร่ครวญแล้วจึงทำ, สำรวมระวังครองชีวิตอยู่โดยธรรม และเป็นผู้ไม่ประมาท."



วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

fear of freedom

เมื่อวันก่อนมีนักศึกษาระดับบัณฑิต ชวนให้ผมอ่านกระทู้ของเพื่อนที่เข้าไปโพสในเวปไซด์ของคณะที่เขาศึกษาอยู่ เนื้อหาโดยสรุปพูดถึงความไม่พอใจที่มีอาจารย์บางท่านที่นำเอาเรื่องการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปพูดในชั้นเรียน นักศึกษาคนนั้นพูดทำนองว่า แค่เรื่องเรียนในห้องก็เครียดอยู่แล้ว ยังนำเรื่อง "นอกห้องเรียน" มาพูดอีก และอาจารย์ก็แสดงอย่างชัดเจนว่าเชียร์ พันธมิตร นักศึกษาไม่พอใจเพราะกลัวว่าถ้าแสดงความเห็นคัดค้าน หรือ แสดงออกว่าไม่พอใจ ก็อาจจะได้เกรดไม่ดี

กระทู้ดังกล่าวมีคนเขามาแสดงความคิดเห็นมากพอสมควร มีทั้งเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ และเห็นไปในทางตรงข้าม มีประเด็นน่าสนใจที่ผมว่าเราควรยิบยกมาพิจารณาให้เห็นถึงวิธีคิด วิธีรับรู้ และวิธีตีความหมายของนักศึกษาในปัจจุบัน เพราะมีนักศึกษาบางรายให้ความเห็นไปในทำนองว่า อาจารย์แบบนี้ไม่น่าเคารพ, คนที่เป็นปัญญาชนควรจะเป็นกลาง รวมไปถึงตำหนิอาจารย์ที่ยัดเยียดความคิดเห็นของตนให้กับนักศึกษา ภายใต้การวางกรอบความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบอาจารย์-นักศึกษา

ความคิดเห็นดังกล่าวทำให้อดย้อนระลึกถึงปฏิบัติการทางการเรียนการสอนในระดับบัณฑิตศึกษาของเราไม่ได้ว่า อะไรหนอที่ทำให้นักศึกษาของเราเกิด "ความกลัวที่จะมีอิสรภาพ" และตกอยู่ใน "วัฒนธรรมแห่งความเงียบ"

การเรียนการสอนในระดับบัณฑิตวิทยาลัยย่อมมุ่งหมายให้นักศึกษาสามารถสร้างความรู้ได้ด้วยตนเองผ่านกระบวนทำวิจัย หรือที่เรานิยมเรียกกันว่า เรียนแบบใช้การวิจัยเป็นฐาน ซึ่งการจะทำวิจัยได้นั้นนักศึกษาต้องมี independent critical though ซึ่งหมายถึง การมีอิสระเสรีที่จะคิดอย่างวิพากษ์วิจารณ์ ถ้าปราศจากรูปแบบความคิดดังกล่าว ก็ถือว่านักศึกษายังเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของการศึกษาในระดับบัณฑิต

ที่นักศึกษาออกมาแสดงความคิดว่า ถ้าไปแสดงความเห็นขัดแย้งอาจารย์ก็อาจจะทำให้ได้เกรดไม่ดีนั้น meaning perspective ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึง ความกลัวที่จะมีอิสรภาพ และการตกอยู่ในวัฒนธรรมแห่งความเงียบของนักศึกษา

ความกลัวที่จะมีอิสรภาพของนักศึกษาหมายถึง การที่นักศึกษาคนดังกล่าวไม่ยอมที่จะแสดงความคิดเห็นของตนเองอย่างเสรี ไม่กล้าที่จะมีอิสระทางความคิดที่จะไม่เห็นด้วยกลับอาจารย์ โดยปล่อยให้ความกลัว(ซึ่งนักศึกษาระดับบัณฑิตไม่ควรมี)เข้าครอบงำตนเอง ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า นักเรียนยังถูกพันธนาการด้วย เกรด ด้วย คะแนน มากกว่า จะให้ความสำคัญกับเนื้อหา สาระ การแถลงเหตุผล ต่อประเด็นต่างๆ ที่ยิบหยกมาพูดคุยกันในชั้นเรียน

ความกลัวที่จะมีอิสรภาพของนักศึกษาทำให้นักศึกษาตกอยู่ในวัฒนธรรมแห่งความเงียบ เป็นวัฒนธรรมที่นักศึกษาไม่กล้าเปล่งเสียงความคิดของตนออกมา เพราะถูกครอบงำโดยความเป็น "อาจารย์"

เรื่องดังกล่าวมีความสำคัญ เพราะทุกคนในสังคมย่อมคาดหวังว่ามหาบัณฑิตแต่ละคนจะมีอิสรภาพทางวิชาการ เขาผู้นั้นจะเป็นปากเีป็นเสียงให้กับผู้คนทั่วไป โดยเฉพาะคนด้อยโอกาสในสังคม แต่เรื่องนี้ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาควรกลับไปใคร่ครวญดูว่า เราจัดสภาพแวดล้อมกันอย่างไร นักศึกษาจึงไม่สามารถดึงศักยภาพของตนเองออกมาได้ ยังตกอยู่ในภาวะความกลัวที่จะไม่ได้คะแนน เพียงเพราะมีความคิดเห็นไม่ตรงกับอาจารย์

ปัญหาดังกล่าวคงไม่สามารถหาคำตอบได้โดยง่าย ผมจึงหวังว่าบล็อกแห่งนี้จะเป็นที่ที่พวกเราทุกคนได้ร่วมกันแสดงความเห็น แบ่งปันความรู้ เพื่อจะหาแนวทางที่จะช่วยกันปลดปล่อยตนเองจากการถูกครอบงำ โดยเฉพาะการครอบงำทางความคิด และนำไปสู่ความมีอิสระเสรี ซึ่งถือเป็น เป้าหมายสำคัญประการหนึ่งในการพัฒนาคน

สุดท้ายก็อยากจะฝากไปถึงพวกเราทุกคนว่า ในฐานะที่เราเป็นนักศึกษา ถ้าเราได้ "เรียน" จากสิ่งที่เราไม่ชอบ เราก็อาจจะ "รู้" อะไรใหม่ๆ ที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็เป็นได้ ความใฝ่รู้ เป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นปัญญาชนครับ